พลัสฯ เผยเทรนด์ที่มีอิทธิพลต่อตลาดอยู่อาศัยปี 64 พบ เวลเนส ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ราคาจับต้องได้, ทำเลชานเมือง มาแรง พร้อม แนะเพิ่มมูลค่าโครงการด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย
1. Wellness พลิกโฉมการออกแบบ เทรนด์ Wellness หรือปัจจัยด้านสุขภาวะ ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในตลาดที่อยู่อาศัย 2-3 ปีแล้ว แต่หลังจากโลกเราได้เผชิญกับโควิด-19 ประเด็นนี้จะถูกให้น้ำหนักมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงการ (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน) การดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้อยู่ในลักษณะของ Universal Design วัสดุที่ใช้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย สิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทต่อผู้พัฒนาโครงการ ตลอดจนประกอบการตัดสินใจซื้อมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต New Normal อาทิ การลดการสัมผัส การจัดสรรพื้นที่ในที่พักอาศัยเพื่อรองรับการทำงานที่บ้านที่จะยังคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนกลางของโครงการหรือสำนักงานที่มีมุมผ่อนคลายหรือสถานที่ออกกำลังกาย เอื้อต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์ก็มีส่วนสำคัญ
2. Senior Living หรือที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่ได้มีการพัฒนาโครงการจากภาครัฐและเอกชนในรูปแบบของการผสมผสานที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงการดูแลสุขภาพและความปลอดภัย มีการจับมือร่วมกันพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำ หรือแม้กระทั่งการนำพื้นที่ของโรงแรมมาพัฒนาเป็นสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ โดยมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดรวมถึงจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้อยู่อาศัยกับคุณหมอ
3. ที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท จับกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงานที่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องนั้น เราเริ่มเห็นผู้พัฒนาโครงการได้ออกมาเปิดโครงการระดับนี้กันมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มทาวน์โฮม บ้านแฝดที่ราคาเกิน 3 ล้านบาท ก็คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มาแรง
4. มีพื้นที่สีเขียวหรือสวนผักเพื่อบริโภค หรือที่เรียกกันว่าสวนผักทานได้ (Eat-Able Garden) เพื่อเป็นการสร้างอาหารปลอดสารให้กับครอบครัว ซึ่งเทรนด์นี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงาน ได้มีการนำปัจจัยเรื่องพื้นที่สร้างแหล่งอาหารไปพิจารณาในการประเมินมาตรฐาน WELL และ Fitwel เพื่อมอบรางวัลด้านบริหารจัดการให้กับอาคารที่ออกแบบและบริหารจัดการที่ใส่ใจต่อสุขภาวะของพนักงานและผู้ใช้อาคารด้วยเช่นกัน
5. Urbanization ทำเลที่อยู่อาศัยกระจายออกไปมากขึ้น จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมต่างๆ และโครงการ Smart City ของรัฐบาล ทำให้เกิดทำเลใหม่ๆ ที่ได้รับความนิยมในการอยู่อาศัยกระจายออกไป ทั้งในโซนรอบกรุงเทพฯ บริเวณที่มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดงและสีเขียวที่จะขยายไปถึงปทุมธานี ตลอดจนทำเลย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เนื่องจากเป็นทำเลเปิดใหม่และมีถนนทางเชื่อมการเดินทางเข้าสู่พื้นที่รามคำแหง พระราม 9 อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสู่สนามบินได้สะดวกรวดเร็ว สามารถเชื่อมต่อกับโครงการพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนจังหวัดที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็น Smart City อย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
6. อุ่นใจด้วยบริการหลังการขายแบบมือออาชีพ เป็นหนึ่งในปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ผู้ซื้อเริ่มตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น จากรูปแบบการอยู่อาศัยในโครงการคอนโดหรือแม้กระทั่งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ที่ต้องพึ่งพางานบริหารหลังการขายที่มีรายละเอียดของการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะงานช่าง ที่ลูกบ้านในแต่ละโครงการไม่สามารถจัดการเองได้ เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมก๊อกน้ำ ไปจนถึงงานที่ช่วยรักษาสภาพโครงการในภาพรวมให้สวยงามน่าอยู่ในระยะยาว เช่นงานระบบวิศวกรรมอาคารที่เป็นส่วนสำคัญในการรักษาสภาพโครงการและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ให้คงสภาพดีเหนือกาลเวลา
นอกจาก 6 ปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันให้ความสำคัญก็คือเรื่องของความคุ้มค่า โดยที่ผู้ซื้อจะไม่พิจารณาเฉพาะปัจจัยราคาถูกหรือราคาแพงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาว่าราคาที่จ่ายไปคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับหรือไม่ ดังนั้นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะพัฒนา เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาดูแลระบบรักษาความปลอดภัย การมีแอปพลิเคชั่นในการบริหารจัดการโครงการ